Saturday, January 28, 2012

ตายแล้วไปไหน



ตั้งแต่ย่างเข้า 50 มา บางครั้งก็อดคิดเรื่องแก่เรื่องตายไม่ได้ เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ตายไปแล้วก็หลายคน แต่คนไทยเรามักไม่ค่อยติดกับเรื่องตายเท่าไร เผาเสร็จแล้วก็เสร็จเลยเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกับคนจีนหรือญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญทั้งด้านพิธีกรรมงานศพและที่อยู่หลังตาย หลายท่านอาจไม่ทราบมาก่อนว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นทุกคนหลอกน่ะที่ตายแล้วจะมีสุสานกัน เหมือนเช่นพ่อแม่สามีซึ่งตายไปเกือบสิบปีแล้ว ตอนนี้ไปเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวกันที่วัด Isshin-ji ในเมืองโอซากา

“ดูที่ทางไว้หรือยังค่ะ”
พระประธานในโบสถ์วัด Isshin-ji
อยู่บ้านทีไรได้เรื่องทุกที ต้องคอยนั่งรับโทรศัพท์จากคุณป้าเสียงหวานชวนซื้อที่ซื้อทางอยุ่เป็นประจำ แรกๆก็ซื่อบื่อไม่รู้หลอกน่ะว่าเป็นที่อะไร “Senri Memorial ค่ะ เพิ่งเปิดใหม่ ล้อมรอบด้วยภูเขาเขียวขจี มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดนะค่ะ” ไม่ใช่คอนโดค่ะ เธอโทรมาชวนให้ไปซื้อที่เก็บไว้ทำสุสาน รีบปฏิเสธแทบไม่ทัน แถมบางคนตื๊อต่อด้วย “แน่ใจหรือค่ะว่ายังไม่จำเป็น” มาถึงตอนนี้ เล่นเอาตั้งตัวไม่ติดเหมือนกันเพราะใครจะไปแน่ใจได้ว่าจะตายเมื่อไร

ปกติผู้สูงอายุญี่ปุ่นจะเตรียมที่ทางไว้อยู่หลังตายแล้วกันเป็นส่วนใหญ่ คนไหนที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลก็รับทอดสุสานของปู่ย่าตายาย หลังเผาเสร็จก็เอากระดูกส่วนหนึ่งใส่โถไปเก็บในสุสานเล็กๆเรียงรายใกล้กัน แต่สำหรับลูกชายคนรองหรือคนต่อๆมาก็ต้องไปขยับขยายหาที่ทางเอาเอง ทำให้ธุรกิจด้านที่ดินผืนน้อยนิดนี้ค่อนข้างรุ่งเรืองโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆซึ่งคนร้อยพ่อพันธุ์แม่เข้ามาทำมาหากิน ลองคิดดูซิว่าผ่อนบ้านกว่า 35 ปีเสร็จยังต่อมาผ่อนที่สำหรับทำสุสานราคาเหยียบ 3-4 ล้านเยนอีก ชีวิตที่นี่ทรหดแค่ไหน

วัดสำหรับลูกชายคนรอง
พระสงฆ์กำลังสวด
สัก 10 ปีก่อนหน้านี้ได้ที่พ่อของสามีลื่นล้มตกบันไดที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตไป หลังจากดูแลภรรยาซึ่งป่วยเป็นอัมพาตอย่างหนักมากว่า 22 ปี ทำให้พวกเราต้องวิ่งหาที่เก็บกระดูกของพ่อซึ่งเป็นลูกชายคนรองและต้องออกไปหาสุสานเอง หลังจากสวดหนึ่งคืน เผาในวันรุ่งขึ้น และทำบุญครบรอบ 49 วันแล้ว ก็ถึงเวลานำกระดูกไปเก็บ ซึ่งท้ายสุดเราก็ตัดสินใจเลือกวัด Isshin-ji ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอ Tennoji กลางกรุงโอซากาเป็นที่บรรจุกระดูกของพ่อ

วัด Isshin-ji ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ.1185 มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์ว่าเคยเป็นที่ตั้งกองกำลังของ Tokugawa Ieyasu  (ปกครองประเทศจากค.ศ. 1603-1605) สมัยที่ยกทัพมาเพื่อยึดครองอำนาจจากตระกูลโทะโยะโทะมิ แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักวัดนี้ในนามของ “วัดพระพุทธรูปทำจากอัฐิ” (Kotsubotoke no Tera)

พระพุทธรูปทำจากอัฐิ
ใช่แล้ว พระพุทธรูปของวัดนี้ทำจากอัฐิผู้คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ว่ากันว่าแต่ไหนแต่ไรชาวพุทธที่นี่มีธรรมเนียมนำเอากระดูก อังคาร หรือเส้นผมของญาติมิตรที่เสียชีวิตไปๆเก็บและทำบุญที่วัด ที่มีเงินก็สร้างสุสานของตนเองในบริเวณวัด ที่ไม่มีเงินก็นำมาทำบุญแล้วก็ฝากกระดูกไว้เช่นนั้น ซึ่งทางวัดก็รับทำพิธีให้มาตั้งแต่ปี 1856 เป็นต้นมา จนกระดูกแทบจะไม่มีที่เก็บต่อไป ทางวัดก็เลยปรึกษากันว่าให้รวบรวมเอากระดูกเหล่านั้นมาเผาและหล่อเป็นพระพุทธรูปทุกๆสิบปีซะ ผู้คนที่เสียชีวิตไปจะได้ไปสู่สุขคติ ลูกหลานก็มากราบไหว้ได้ทุกเมื่อ และนั่นคือที่มาของพระพุทธรูปทำจากอัฐิองค์แรกในปี 1887 ซึ่งใช้อัฐิของคนกว่า 2 ล้านคนเป็นวัสดุ องค์ล่าสุดนี้หล่อเมื่อปี 2007 ใช้อัฐิรวมทั้งสิ้น 163,254 คน และสองในจำนวนแสนกว่ารายของกระดูกดังกล่าวคือกระดูกของพ่อและแม่สามีซึ่งเสียชีวิตใน 3 ปีต่อมา ไล่เลี่ยกันทันรวมเป็นพระองค์เดียวกันพอดี

“ถึงเวลาทำบุญแล้วน่ะ”
พระสงฆ์เขียนชื่อผู้เสียชีวิตบรกระดาษไม้ไผ่
เมื่อครบกำหนดวันเสียชีวิตของแต่ละคน ทางวัดจะส่งไปรษณียบัตรมาที่บ้าน เตือนให้ลูกหลานไปทำบุญรำลึกถึงการจากไปของบรรพบุรุษที่ไปฝากกระดูกทำเป็นพระพุทธรูปไว้ สำหรับที่บ้านนั้น ไปรษณียบัตรจะมาทุกๆเดือนมกราคม โดยแยกมาของพ่อใบหนึ่งของแม่อีกใบหนึ่งซึ่งบังเอิญเสียชีวิตในเดือนมกราคมเหมือนกัน ทำให้เรารวบรัดไปทำบุญพร้อมกันทีเดียวได้เลย แถมที่วัดนี้ยังมีการบริหารจัดการที่เยี่ยมยอดด้วย คือตอนเรานำอัฐิของพ่อและแม่ไปฝากที่วัดนั้น ได้ขอให้ทางวัดทำบุญให้แบบถาวร (สัญญา 33 ปี) โดยมีค่าใช้จ่ายตามอัตราที่วัดกำหนดคือ 1 แสนเยน ซึ่งเป็นเรตที่ไม่เป็นภาระกับลูกหลาน ทำให้ลูกหลานสามารถเดินทางไปทำบุญได้ทุกๆปี บรรพบุรุษก็พลอยชื่นมื่นด้วย

ดอกไม้หน้าโบสถ์เล็กด้านข้าง
วันนี้เป็นวันที่สามีมาชวนไปทำบุญที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนอื่นก็พากันไปเข้าแถวที่แผนกลงทะเบียนซึ่งพระสงฆ์และเจ้าหน้าที่วัดจะมาคอยรับไปรษณียบัตรที่แต่ละคนนำไปแสดง หลังจากนั้นพระสงฆ์ก็จะเขียนชื่อบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปบนแผ่นกระดาษคล้ายกระดาษไม้ไผ่ ส่งให้ลูกหลานนำไปที่โบสถ์ใหญ่ เพื่อไปคอยให้หลวงพี่หลวงน้าเรียกชื่อตามคิวเข้าไปทีละครอบครัว วันนี้เป็นวันเสาวร์ ผู้คนก็ค่อนข้างมากหน่อย คอยอยู่สักครึ่งชั่วโมงก็ถึงคิวเรา “มัทสุโอะ ยาสุฮิโระ-ซังและครอบครัวเชิญด้านนี้” ว่าแล้วก็ขยับไปฟังพระสวด 2 อึดใจ นำป้ายชื่อพ่อแม่ไปปักหน้าพระพุทธรูป พระสงฆ์ขานชื่ออำนวยพรให้อยู่ดีมีสุขบนสวงสวรรค์ทำนองนั้น เสร็จรับขนมที่ระลึกจากมือพระเป็นอันเสร็จสิ้น รวมสิริเวลาราว 3 นาที “ทำไมถึงสั้นอย่างนี้ ?” ทีแรกก็ตกใจตาเหลือกเหมือนกันน่ะ แต่นี่ปีที่สิบแล้วเลยชิน แหม วันๆหนึ่งมีผู้คนมากว่า 4-500 ราย จะให้สวดข้ามวันข้ามคืนแบบเมืองไทย ให้เกณฑ์พระมาทั่วประเทศก็คงเอาไม่อยู่ (ขอยืมใช้บ้าง มีค่าลิขสิทธิ์ไหมเนี่ย) เอาพอหอมปากหอมคอก็พอ

เสร็จจากสวด 3 นาที รอครึ่งชั่วโมง แต่ละคนก็ลงจากโบสถ์ใหญ่ ขยับไปที่โบสถ์เล็กด้านข้างซึ่งด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่ทำจากอัฐิเรียงรายกันอยู่ตอนนี้รวม 8 องค์ (องค์ก่อนหน้านั้นเสียหายไประหว่างสงคราม) ต่างคนก็มองหาพระพุทธรูปองค์ที่ใช้กระดูกบรรพบุรุษตนสร้าง จุดธูปเทียนปักดอกไม้กราบไหว้ สามีเอากาแฟติดมือไปสองกระป๋องไปวางไว้ที่หน้าองค์พระพุทธปี 2007 ด้วย บอกว่าพ่อและแม่ชอบกินกาแฟ หลังจากนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นแยกย้ายกันกลับ รอไปรษณียบัตรปีหน้าใหม่

ไปไหนดีล่ะ ฉัน ?
หอธรรมด้านนอกวัด มีพระพุทธรูปเรียงรายเป็นร้อยๆองค์
หลังจากเริ่มนึกเรื่องแก่เรื่องตาย เวลาก็ผ่านมาได้สัก 2-3 ปีแล้ว ที่ดินทำสุสานนั้นคงไม่ซื้อแน่ เพราะรู้สึกสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ จะให้ไปเป็นพระพุทธรูปแบบพ่อและแม่สามีดี หรือไปอยู่ในเจดีย์วัดที่เมืองไทยดี หรือแค่นำอังคารไปลอยออกทะเลหายไปกับคลื่นลมเลยก็ไม่เลวน่ะ หรือจะเอาแบบพ่อตัวเองที่ไปเซ็นมอบร่างไว้กับสภากาชาดแล้วดี เอ้ เรื่องนี้ต้องปรึกษาสามีแต่เนิ่นๆไหมน่ะ เดี๋ยว ขอไปดูกรมธรรมณ์ประกันชีวิตก่อนว่าชื่อผู้รับเป็นใคร แล้วค่อยคิดเรื่องที่อยู่หลังตายแล้วกัน

ที่อยู่หลังตาย ?

Sunday, January 15, 2012

การ์ตูนญี่ปุ่นบุกอินเดีย


หลายปีมานี้ ญี่ปุ่นดูเหมือนจะถูกเกาหลีตีตลาดเอเซียไปมากทีเดียว ไม่ว่าจะด้านแฟชั่น เพลง หรือว่าละคร เด็กไทยจำนวนไม่น้อยหลงไหลเกาหลี และทำท่าเหมือนกับจะลืมญี่ปุ่นไปง่ายๆยังงั้น หลังพักรบดูลาดลาวมาสักพัก ญี่ปุ่นก็เริ่มบุกอีกครั้ง คราวนี้เริ่มจากเมืองภารตะ ตลาดยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเซีย แถมไม่ใช่แค่ขายหนังสือหรือฉายการ์ตูนหลอกเด็กเท่านั้น แต่จะเข้าไปปักหลักใช้อินเดียเป็นฐานผลิตการ์ตูนเลยด้วย

สุราจ ดาวเด่นวงการคริกเกตอินเดีย

หากถามคนญี่ปุ่นในวัย 50 เศษว่าสมัยเด็กๆเคยดูการ์ตูนเรื่องอะไร ? เชื่อได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยจะตอบว่า “Kyojin no Hoshi“ หรือที่ฝรั่งนำไปแปลเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษว่า “Star of the Giants” (ดาวเด่นของทีมเบสบอลล์ Giants) มันเป็นเรื่องราวของ Hoshi Hyuma นักกีฬาเบสบอลล์ดาวเด่นของทีม Yomiuri Giants ซึ่งพ่ออดีตนักกีฬาสังกัดทีมดังกล่าวได้ปลูกฝังให้รักกีฬา น้ำใจนักกีฬาและความอดทนของเขาถูกปลูกฝังมาอย่างไรดูจะเป็นหัวใจสำคัญสร้างความประทับใจต่อผู้อ่านการ์ตูนประเภท “Spo-ne”(กีฬากับการต่อสู้) เอามากๆทีเดียว ด้วยเหตุนี้กระมังที่สำนักพิมพ์ Kodansha เจ้าของลิขสิทธ์ตกลงที่จะรีเมคภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องที่ว่านี้ นำไปฉายทั่วอินเดียจากฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ (กันยา-พฤศจิกา) โดยเปลี่ยนจากเบสบอลล์มาเป็นคริกเกต (Cricket) กีฬายอดนิยมของชาวภารตะ พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “Rising Star”


“สุราจ” คือตัวเอกของเรื่อง มีชีวิตครอบครัวคล้าย Hoshi พ่อของสุราจเป็นอดีตนักกีฬาทีมชาติ แต่จากอุบัติเหตุรถยนต์ทำให้แขนใช้การไม่ได้ ต้องลาออกไปทำงานก่อสร้างหาเงินเลี้ยงและอบรมสั่งสอนสุราจ จนเขากลายเป็นนักกีฬาดาวเด่นของทีมในเมืองมุมไบ มีผู้คนหลงไหลมากกว่านักกีฬาคนอื่นที่มาจากครอบครัวมีอันจะกิน  อ่านมาเท่านี้ก็พอจะเดาได้ว่าผู้ชมชาวภารตะต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าโผกศรีษะไว้เช็ดน้ำตากันตามๆแน่


มุมไบเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าฝั่งตะวันตกของอินเดีย มีมหาเศรษฐีอันดับ 9 ของโลกที่มีสมบัติกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีชีวิตอยู่ด้วยการเก็บขยะขายวันละ 30 รูปี (ประมาณ 15 บาท)


ทศวรรษ 1950-60 เป็นช่วงที่คนญี่ปุ่นพากันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความมานะจนกระทั่งประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีละกว่าร้อยละ10 ติดๆกันอยู่หลายต่อหลายปี นักวิเคราะห์เชื่อว่าผู้ชมการ์ตูนหลายรายชอบการ์ตูนดังกล่าวเพราะการนำตัวเองไปเทียบซ้อนกับตัวเอกของเรื่อง ทำให้มีกำลังใจมุ่งมั่นทำงานต่อไป สำนักพิมพ์โคดังชะเล็งว่าอินเดียปัจจุบันคล้ายกับญี่ปุ่นในเวลานั้นมาก จึงคาดว่า “Rising Star” ก็จะเป็นที่ฮอตฮิตหลังจากที่ก่อนหน้านี้ โดราเอมอน และ นินจา ฮัตโตริได้รับความนิยมมาแล้ว

นินจาฮัตโตริ, เครยอง ชินจัง เมด อิน อินเดีย

หนูน้อยเครยอง ชินจัง
“นินจาฮัตโตริ-กุง”  เป็นการ์ตูนอีกเรื่องหนึ่งที่ฮอตฮิตมาช้านาน เมื่อไม่กี่วันมานี้ Asahi T.V เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ได้ตกลงให้บริษัท Reliance Media Works บริษัทผู้ผลิตการ์ตูนรายใหญ่ของอินเดียเป็นผู้ผลิตนินจา ฮัตโตริตอนใหม่ (ตอนที่ 26) ซึ่งจะคลอดออกมาในรอบ 25 ปี “เมด อิน อินเดีย” นั้นประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับรุ่น “เมด อิน แจแปน” ดูเหมือนอุตสาหกรรมการ์ตูนก็จะเหมือนๆรถยนต์ หรืออุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ซะแล้ว ส่งไปผลิตนอกประเทศ นำเข้าย้อนกลับมาที่ญี่ปุ่น ข่าวมาว่านอกจากจะฉายในอินเดียจากเดือนพฤษภาคมนี้แล้ว เรื่องใหม่นี้ก็จะถูกส่งไปฉายในเกาหลี ไทย และประเทศเอเซียรวม 10 ประเทศด้วย หากไม่มีอุปสรรคร้ายแรงใดๆเกิดขึ้น Asahi T.V ยังได้ประกาศว่าจะใช้อินเดียเป็นฐานผลิตภาพยนตร์การ์ตูนที่ตนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เครยอง ชินจัง” หรือ “ปาร์แมน” เป็นต้น เรียกได้ว่าสำหรับการ์ตูนนิสต์ชาวภารตะนั้น อยู่ในภาวะส้มหล่นแน่


ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม เอกลักษณ์ของการ์ตูนก็คงจะรักษาสไตล์ญี่ปุ่นต่อไป แต่ในใจก็อดอยากเห็นนินจา ฮัตโตริหรือหนูน้อยชินจังปีนทัชมาฮาล หรือไปหาแกงกะหรี่อินเดียกินบ้างนิดๆเหมือนกัน นอกจากตัวภาพยนตร์แล้ว เชื่อว่าบริษัทจะผลิตสินค้าขายและใช้เป็นคาแรคเตอร์โฆษณาทั่วเอเซียด้วย ขนาดในปี 2010 ที่จำนวนภาพยนตร์ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับในปี 2006 อันเป็นปีทองแล้วก็ตาม ก็ยังมีภาพยนตร์ออกมาฉายถึง 195 เรื่อง รายได้จากการโฆษณาและขายสินค้าเท่ากับ 92,000 ล้านเยน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรัฐบาลถึงออกมาสนับสนุนวิสาหกิจเอกชนอย่างเต็มที่ตอนนี้

ธุรกิจขนาด 8 – 11 ล้านล้านเยนเชียวน่ะ
Salary-man Kintaro การ์ตูนยอดฮิตสำหรับคนทำงาน
“เด็กเกิดน้อย คนแก่ตายยาก” เป็นปัญหาใหญ่ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญในขณะนี้ ธุรกิจใดๆที่เกี่ยวกับเด็กพากันเตรียมตัวปรับโครงสร้างตลาดกันตามๆ ตลาดในเอเซียโดยเฉพาะอินเดียซึ่งมีเด็กและผู้คนในวัยพร้อมบริโภคการ์ตูนรอคอยอยู่มากมายกลายเป็นตลาดใหญ่ของโลกในขณะนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กระทรวงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นได้อนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่เพื่อสนับสนุนบริษัทการ์ตูน เครื่องเขียน ของเล่น ฯลฯ รวม 13 บริษัทให้ไปทดลองวางขายสินค้าในอินเดีย โดยบริษัทค้าปลีกในอินเดียได้รับเป็นผู้หาตลาดให้ สนุกกันใหญ่แล้วคราวนี้ หลังจากนั้นกระทรวงฯยังเตรียมคลอดสารพัดโปรเจคอีก 12 รายการ โดยจะให้แล้วเสร็จภายในปี 2020 และถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก็จะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศถึง 8 -11 ล้านล้านเยนทีเดียว และไม่เพียงแต่เงินก้อนที่ว่าเท่านั้น การ์ตูนยังจะสร้างแฟนพันธุ์แท้ของญี่ปุ่นได้อีกมากมาย บรรดาโรงแรมและเรียวกังคงต้องเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวภารตะทั้งหลายที่จะทยอยกันมาในอนาคตแต่เนิ่นๆ


ถึงเวลานั้น เห็นที่จะต้องรีบทำไม้ไว้ขายบ้าง เอาไว้ตีแขกไงล่ะ ญี่ปุ่นจะรู้ไหมน่ะว่า แขกนั้นร้ายกว่างูเสียอีก